วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

วัดพระประโทณเจดีย์ วรวิหาร


บทนำ

วัดพระประโทณเจดีย์ วรวิหาร ตั้งอยู่เลขที่ 78 หลักกิโลเมตรที่ 52 ถ.เพชรเกษม ต.พระประโทน อ. เมืองนครปฐม จ. นครปฐม อาณาเขตของวัดมีพื้นที่รวมทั้งหมด 120 ไร่ 3 งาน 12 ตารางวา โดยแบ่งเป็นพื้นที่วัด 74 ไร่ 3 งาน 44 ตารางวา ที่ธรณีสงฆ์
45 ไร่ 3 งาน 68 ตารางวา วัดพระประโทณเจดีย์ วรวิหาร ได้รับมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้า ยกขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2527 โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศตั้งเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2527

ความเป็นมาของวัดพระประโทณเจดีย์ วรวิหาร

วัดพระประโทณเจดีย์ เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยที่อาณาจักรทวารวดีรุ่งเรืองทางด้านศิลปวัตถุและสถาปัตยกรรม จากการขุดค้นทางโบราณคดีในบริเวณใกล้เคียงองค์พระประโทณเจดีย์ ได้พบรูปกวางหมอบศิลาฝังอยู่ในแผ่นดิน ทางด้านทิศเหนือของวัด อยู่ห่างประมาณ 5 เส้นเศษ ลึกประมาณเมตรเศษ รวมอยู่กับเจดีย์เก่า และบริเวณนั้นมีอิฐโบราณอยู่เป็นจำนวนมาก กวงาหมอบศิลานั้นเป็นศิลปะแบบทวารวดี ที่ทำตามแบบในอินเดีย ครั้งสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เพราะในสมัยพระเจ้าอโศกนี้ ยังไม่มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้น จึงนิยมสร้างศิลปะวัตถุ ที่เกี่ยวกับสังเวชนียสถานเป็นส่วนมาก เช่นรูปกวางหมอบ เสมาธรรมจักรก็เป็นส่วนที่เกี่ยวกับตอนที่พระพุทธเจ้า แสดงพระธรรมเทศนาเป็นครั้งแรก ที่ป่า อิสิปตนมฤคหทายวัน เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่ยืนยัน ความเป็นมาของวัดพระประโทณเจดีย์ ควบคู่กับความเป็นมาของอาณาจักรทวารวดี คือ ได้พบเหรียญเงิน 2 เหรียญ เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.2 และ 1.5 เซนติเมตร ค้นพบที่บ้านสองตอน (ปัจจุบัน อยู่ใกล้บ้านหนองบอนงาม) ม. 2 ต. พระประโทน อ. เมืองนครปฐม จ. นครปฐม

เหรียญเงิน 2 เหรียญ ที่พบที่บ้านสองตอน

ซึ่งศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดสอ่านศิลาจารึกบนเหรียญดังกล่าว ได้ความว่า "ศรีทวารวดี ศวรบุณยะ" ซึ่งแปลว่า "บุญของพระราชาแห่งศรีทวารวดี" สมเด็จ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวไว้ในเรื่องมูลเหตุการสร้างวัด ซึ่งกรมศาสนาพิมพ์ขึ้นไว้ในหนังสือชื่อใบลานตอนหนึ่งได้ทรงเอ่ยถึงวัดพระประ โทณเจดีย์ว่า ชั้นเดิมพระพุทธศาสนาคงจะรุ่งเรืองแต่ในบ้านเมืองแล้วจึงแผ่ออกไปที่อื่นโดย ลำดับ ด้วยเหตุนี้วัดในครั้งดึกดำบรรพ์ ซึ่งยังปรากฏอยู่จึงมักอยู่ในท้องถิ่นอันเป็นเมืองเก่า และเป็นเมืองอันเคยเป็นราชธานี โดยเฉพาะห่างออกไปหาใคร่จะมีไม่ จะยกเป็นอุทาหรณ์ดังเช่นเมืองนครปฐม นอกจากพระปฐมเจดีย์ ยังปรากฏวัดซึ่งมีเจดีย์ใหญ่ๆ สร้างไว้อีกหลายแห่ง แต่พอเห็นได้ง่ายในเวลานี้ เช่นวัดพระงาม และวัดพระประโทณเจดีย์ เป็นต้น นอกจากนี้พระองค์ยังได้ทรงสันนิษฐานถึงเหตุแห่งการสร้างวัดไว้อีกว่า การสร้างวัดแต่สมัยดึกดำบรรพ์ มี 2 ประการ คือ สร้างเป็นพุทธเจดีย์ ถือว่าเป็นหลักของพระพุทธศาสนาในที่แห่งนั้นอย่างหนึ่ง สร้างเป็นอนุสาวรีย์เจดีย์ เป็นที่บรรจุอัฐิของท่านผู้ทรงคุณธรรมในศาสนาอินเดียโบราณอย่างหนึ่ง แต่ก็อุทิศให้เป็นเรือนเจดีย์ในพระพุทธศาสนาด้วย

เนื่องจากวัดในสมัยทวารวดีนั้นคงจะมีหลายวัด ที่มีความสำคัญ เช่น วัดพระปฐมเจดีย์ ฯ วัดพระงาม วัดพระประโทณเจดีย์ เป็นต้น แต่หลักฐานที่ยืนยันว่าพระประโทณเจดีย์อยู่กลางเมืองศูนย์กลางความเจริญใน สมัยทวารวดี ก็คือ จากการค้นพบโดยการถ่ายภาพถ่ายทางอากาศ ที่หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิสกุล ทรงบรรยายที่พระประโทณเจดีย์และเจดีย์จุลประโทน

เจดีย์จุลประโทน

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2503 ให้คณะนักโบราณคดีที่มาร่วมในสถานที่นี้ว่า ศิลปะทวารวดีนี้ ปัจจุบันมีการขุดค้นกันมาก โดยเฉพาะที่เมืองนครปฐม คือเราเชื่อกันมานานแล้วว่า เมืองนครปฐมนี้เป็นศูนย์กลางของอาณาจักร และได้ค้นพบศิลปะทวารวดีที่นี่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแสดงถึงการได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะ อินเดียแบบคุปตะ และหลังคุปตะ แต่ว่าตัวเมืองยังค้นไม่พบ เมื่อเร็วๆนี้มีการศึกษาจากภาพถ่ายทางอากาศ ทำให้สามารถทราบได้ว่า เมืองโบราณที่นครปฐมนั้น ตั้งอยู่ทิศตะวันออกขององค์พระปฐมเจดีย์ในปัจจุบัน ซึ่งก็คือตั้งอยู่ในบริเวณตำบลพระประโทน มีพระประโทณเจดีย์เป็นศูนย์กลาง การที่กล่าวถึงสถานที่สำคัญเช่น พระปฐมเจดีย์ ว่าตั้งอยู่นอกเมืองโบราณนี้ไม่เป็นของแปลก เพราะว่าในสมัยโบราณเขาทำกันแบบนี้ทั้งสิ้น คือ ศาสนสถานใหญ่ๆ ที่สำคัญ มักตั้งอยู่นอกเมือง อาจเป็นเพราะต้องการความสงบเงียบก็ได้ เพราะฉะนั้น ในตอนนี้ก็ได้ค้นพบแล้วว่า เมืองสมัยวารวดีที่นครปฐมนั้น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของนครปฐมและมีพระประโทณเจดีย์ เป็นจุดศูนย์กลาง ได้ค้นพบร่องรอยมีคูล้อมรอบตัวเมืองคล้ายรูปไข่ซึ่งเป็นสมัยทวารวดีปรากฏ อยู่ จากอดีตอันยาวนานไม่ต่ำกว่า 1,500 ปี วัดพระประโทณเจดีย์ได้ผ่านยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด แล้วทรุดโทรมไปตามกาลเวลา และได้พลิกฟื้นเจริญรุ่งเรืองมาอยู่ในระดับวัดแนวหน้า จนได้รับยกย่องเป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง ได้รับยกย่องเป็นวัดพัฒนาดีเด่น และยกฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร และได้รับพระราชทานพัด วัดพัฒนาดีเด่น เมื่อปี พ.ศ. 2527 ดังนี้ ก็เพราะความพยายามอย่างยวดยิ่ง ในการปรับปรุงพัฒนาบริเวณภายในวัด ให้สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยเจริญตาเจริญใจแก่ผู้พบเห็น ได้ซ่อมแซมก่อสร้างกุฏิวิหารให้มั่นคงแข็งแรงสวยงาม ของหลวงพ่อเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน คือ พระเดชพระคุณฯ พระราชเจติยาภิบาล


พระราชเจติยาภิบาล เจ้าอาวาส

วัดพระประโทณเจดีย์ วรวิหาร ในปัจจุบันเป็นวัดที่มีลักษณะเฉพาะที่สำคัญ 6 ด้านด้วยกัน คือ

1. เป็นวัดที่มีความสะอาดสวยงาม เจริญตาเจริญใจของผู้พบเห็น
2. เป็นวัดที่มีการวางผังอย่างดีเยี่ยม สิ่งปลูกสร้างภายในวัดเป็นระเบียบเรียบร้อย ทรงไทยทั้งหมด

ความสวยงามสะอาดตาและการวางผังที่ดีเยี่ยมของวัดพระประโทนเจดีย์ วรวิหาร

3. เป็นวัดที่ส่งเสริมสนับสนุน การศึกษาของพระภิกษุสามเณรมาโดยตลอด พระภิกษุสามเณรของวัด จึงมีแต่รูปที่ฝักใฝ่แต่การศึกษาเกือบทั้งหมด
4. เป็นวัดที่ริเริ่มและดำเนินโครงการข้าวก้นบาตร เพื่อสงเคราะห์นักเรียนโรงเรียนวัดพระประโทณเจดีย์ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 มาจนถึงปัจจุบัน และมีนักเรียนมารับประทานอาหาร 30-40 คน ของวันที่ทำการเปิดสอนทุกวัน
5. เป็นที่ประดิษฐานขององค์พระประโทณเจดีย์ ซึ่งเป็นปูชนียสถานสำคัญ เป็นแบบทวารวดี
6. เป็นวัดที่มีการปกครองโดยยึดหลักพระธรรมวินัย ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ และทรงบัญญัติไว้ และตาม พ.ร.บ. คณะสงฆ์ กฎระเบียบของมหาเถรสมาคม คำสั่งของผู้บังคับบัญชา เป็นหลักสำคัญ

ในปี พ.ศ.2552 ปีปัจจุบันนี้ วัดพระประโทณเจดีย์ มีภิกษุสามเณร รวมทั้งหมด 79 รูป
แยกเป็นพระภิกษุ 29 รูป สามเณร 50 รูป

สำหรับสถานที่ราชการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของวัด มีทั้งหมด 4 แห่ง ด้วยกัน คือ
1. วิทยาลัยเทคนิคนครปฐม สังกัดกรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
2. สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาจังหวัดนครปฐม สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช)
3. โรงเรียนวัดพระประโทณเจดีย์
4. สำนักงานสุขาภิบาลธรรมศาลา ตำบลธรรมศาลา

จุลประโทณเจดีย์

ที่ตั้ง ตั้งอยู่ห่างจากพระประโทณเจดีย์ ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 500 เมตร เข้าไปทางถนนสายต้นสำโรง ข้างวิทยาลัยเทคนิคนครปฐมด้านทิศตะวันออก พ.ศ. 2483 กรมศิลปากร ได้ร่วมมือกับศาสตราจารย์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ มองสิเออร์ ปิแอร์ดูปองต์ ทำการขุดค้นพร้อมกับ ขุดวัดพระเมรุ ใกล้สวนนันทอุทยาน พบเจดีย์ใหญ่ยอดปรักหักพังหมด และยังพบปฏิมากรรม เช่น ประเภทรูปปั้นดินเผา ในสมัยแรกสร้าง ประเภทปูนปั้นในสมัยที่ 2 จากการขุดพบสันนิษฐานว่าเจดีย์จุลประโทณ ได้ก่อสร้างเพิ่มเติมมาถึง 3 สมัยด้วยกัน แต่การสร้างครั้งที่ 3 ไม่ปรากฏรอยให้เห็นในปัจจุบัน เพราะต้องรื้อออกให้เห็นการสร้างครั้งที่ 2 และครั้งที่ 1 โบราณวัตถุ ที่ขุดพบในบริเวณเจดีย์จุลประโทณมีมากมาย โดยเฉพาะในสมัยพระครูสมถกิตติคุณ (ชุ่ม) เช่น พระพุทธรูป ลูกประคำ เศียรพราหมณ์ เศียรพระพุทธรูป ซึ่งทำด้วยปูนปั้นตามที่กล่าวมาแล้ว

โบราณวัตถุเหล่านี้ ได้นำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ปัจจุบันส่วนใหญ่แสดงอยู่ใน พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ จังหวัดนครปฐม และมีบางส่วนที่หลวงพ่อชุ่ม ได้นำไปติดไว้รอบเจดีย์โดยท่านได้สร้างเจดีย์ไว้หน้ากุฏิของท่าน ซึ่งปัจจุบันถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง เป็นแหล่งรวบรวมและแสดงโบราณวัตถุสมัยทวารวดี ของวัดพระประโทณเจดีย์ แต่ละปีจะมีนักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ และนักศึกษาทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ มาดูมาศึกษาเป็นระยะๆ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่บรรจุอัฐิของท่านด้วย

ที่มาของโบราณวัตถุที่พระครูสมถกิตติคุณ (ชุ่ม) นำไปมอบให้พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ จังหวัดนครปฐม และที่ท่านเก็บรวบรวมไว้ในอนุสาวรีย์เจดีย์ หน้ากุฏิของท่าน ซึ่งถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ของวัดพระประโทณเจดีย์ บางส่วนหลวงพ่อได้มาจากชาวบ้านที่ขุดพบในบริเวณที่ดินของตนเอง แล้วนำมามอบให้ท่านเก็บไว้ ซึ่งก็มีเป็นจำนวนมาก

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

ประวัติองค์พระปฐมเจดีย์

องค์พระปฐมเจดีย์ เป็นปูชนียสถานอันสำคัญของประเทศไทย อยู่ภายในวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร มีประวัติความเป็นมายาวนานในแผ่นดินสุวรรณภูมิ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระปฐมเจดีย์ เป็นพระเจดีย์ใหญ่ รูประฆังคว่ำ ปากผายมหึมา โครงสร้างเป็นไม้ซุง รัดด้วยโซ่เส้นมหึมาก่ออิฐ ถือปูน ประดับด้วยกระเบื้องปูทับ ประกอบด้วยวิหาร 4 ทิศ กำแพงแก้ว 2 ชั้น เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ของพระพุทธเจ้า เป็นที่เคารพสักการะบูชาของบรรดาพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ทางวัดกำหนดให้มีงานเทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ในวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 12 ถึง วันแรม 5 ค่ำ เดือน 12 รวม 9 วัน 9 คืน เป็น ประจำทุกปี

ประวัติองค์พระปฐมเจดีย์

พระปฐมเจดีย์ หรือเดิมเรียกว่า พระธมเจดีย์ มีฐานะเป็นมหาธาตุหลวง ของแผ่นดินสุวรรณภูมิ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า พระธมเจดีย์องค์นี้ อาจเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้น เมื่อคราวที่พระสมณทูต ในพระเจ้าอโศกมหาราช เดินทางมาเผยแผ่ศาสนายังสุวรรณภูมิ ก็เป็นได้ เพราะพระเจดีย์เดิม มีลักษณะทรงโอคว่ำ หรือทรงมะนาวผ่าซีก แบบเดียวกับพระสถูปสาญจี แต่ปรากฏว่ามียอดเป็นแบบปรางค์ ซึ่งพระองค์ฯ ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า อาจมีเจ้านายพระองค์ใดมาบูรณะไว้ก็เป็นได้ ซึ่งตรงกับความในศิลาจารึกหลักที่ 2 (ศิลาจารึกวัดศรีชุม) ของ พระมหาเถรศรีศรัทธาฯ อันได้กล่าวไว้ว่า พระมหาเถรศรีศรัทธาฯ ท่านทรงได้แวะมาบูรณะพระธมเจดีย์องค์นี้ ก่อนที่ท่านจะเดินทางกลับเมืองราด เมื่อคราวที่ท่านเสด็จกลับจากศึกษาพระพุทธศาสนาที่ลังกา ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชทานนามใหม่ว่า พระปฐมเจดีย์ ด้วยทรงเชื่อ ว่านี่คือเจดีย์แห่งแรกของสุวรรณภูมิ นั่นเอง

ในเรื่องนี้ นักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดีบางท่าน ได้ระบุว่า พระปฐมเจดีย์ไม่ได้เป็นเจดีย์ที่เก่าที่สุดของสุวรรณภูมิ แต่เป็น พระมหาธาตุหลวง ในยุคทวารวดี มากกว่า เนื่องด้วยเหตุผลประกอบหลายประการ โดยเฉพาะ การค้นพบเจดีย์ ที่มีอายุเก่าแก่กว่าพระธมเจดีย์ และหลักฐานลายลักษณ์อักษร ที่ระบุว่า " พระเจดีย์องค์นี้ เดิม ขอมเรียก พระธม " ซึ่งไม่ว่าจะเป็นชาวขอมจริงๆ หรือชาวลวรัฐ ซึ่งสมัยนั้นเราก็เรียกว่าขอม เช่น ขอมสบาดโขลญลำพง คำว่า ธม สำหรับชาวขอมนั้น แปลว่า ใหญ่ ตรงกับคำเมืองว่า หลวง ซึ่งเราก็เรียกพระนครธม ว่า พระนครหลวง ด้วยเหตุผลเดียวกัน

นอกจากนี้พระบรมราชสรีรางคาร รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว บรรจุที่ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม และฐานพระพุทธชินสีห์ วัดบวรนิเวศวิหาร ตามที่มีพระบรมราชโองการสั่งไว้ในพระราชพินัยกรรม ต่อมา ในพุทธศักราช 2529 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระอังคารของ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ 6 ไปบรรจุไว้เคียงข้างพระบรมราชสรีรางคารรัชกาลที่ 6 ที่ใต้ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์



วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551

ประวัติองค์พระประโทณเจดีย์


พระประโทณเจดีย์ ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดพระประโทณเจดีย์ อยู่ห่างจากตัวเมืองนครปฐมไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๔ กิโลเมตร ลักษณะศิลปะกรรม เป็นโบราณสถานขนาดใหญ่ ยังปรากฏซากเนินขนาดใหญ่ เป็นรูปสี่เหลี่ยมอยู่กลางวัด แต่เดิมสถูปพระประโทณ เป็นรูปทรงโอ่งคว่ำ พระประโทณเจดีย์ เป็นโบราณสถานที่เก่าแก่สำคัญแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม เป็นที่สองรองจากพระปฐมเจดีย์ ยังปรากฏซากเนินใหญ่อยู่กลางวัดเป็นสำคัญ พระประโทณเจดีย์ ตั้งอยู่กลางวัดเป็นเนินใหญ่ อยู่บนพื้นฐานสี่เหลี่ยมก่อด้วยอิฐ อิฐที่ก่อเป็นฐานรอบเนินนี้ เป็นของก่อขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๔ เพื่อกันดินพัง ไม่ใช่ของที่สร้างไว้เดิม บนยอดเนินมีปรางค์อยู่องค์หนึ่ง ทรวดทรงเตี้ยกว่าองค์ที่สร้างบนยอดเนินพระปฐมเจดีย์ บนพื้นฐานเป็นลานกว้างมีต้นไม้ขึ้นร่มรื่นและเดินไปได้โดยรอบ ที่เนินปรางมีบันไดสูงขึ้นไปยังองค์ปรางค์ซึ่งอยู่บนยอดเนิน สูงจากพื้นดินประมาณ ๒๐ เมตร เมื่อขึ้นบรรไดไปข้างบนสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของจังหวัดนครปฐมได้โดยรอบ
พระประโทณเจดีย์ เดิมทีเดียวเป็นวัดที่มีต้นไม้ขึ้นรกมาก เต็มไปด้วยป่าไผ่ มีไก่ป่าชุกชุม ดังเห็นได้ตามคำพรรณนาของนายมี ในนิราศพระแท่นดงรัง ว่า
ถึงประโทณารามพราหมณ์เขาสร้าง
เป็นพระปรางค์แต่บุราณนานนักหนา
แต่ครั้งตวงพระธาตุพระศาสดา
พราหมณ์ศรัทธาสร้างสรรไว้มั่นคง
บรรจุพระทะนานทองของวิเศษ
ที่น้อมเกศอนุโมทนาอานิสงส์
จุดธูปเทียนอภิวันท์ด้วยบรรจง
ถวายธงแพรผ้าแล้วลาจร
ดูสองข้างมรรคาล้วนป่าไผ่
คนตัดใช้ทุกกอตอสลอน
หนามแขนงแกว่งห้อยรอยเขารอน
บ้างเป็นท่อนแห้งหักทะลักทะลุย
ที่โคนไผ่ไก่ป่ามาซุ่มซุก
บ้างกกกุกเขี่ยดินกินลูกขุย
พอเห็นคนวนบินดินกระจุย
เป็นรอยคุ้ยรอบข้างหนทางจร
ได้ยินคนเก่าๆ เล่าว่าแต่ก่อนนั้น บริเวณวัดพระประโทณ รกมากเต็มไปด้วยต้นไม้และป่าไผ่ เคยมีเสือเข้าไปคลอดลูกในวิหารหลวงพ่อโต พอตกตอนเย็นพระไปปิดประตูวิหารใส่กุญแจ โดยไม่ทันได้พิจารณา ได้ขังแม่เสือไว้ในนั้น แม่เสือได้ตะกุยบานประตูวิหารเพื่อหาทางออก จนเป็นรอยเล็บเสือติดอยู่ที่ประตูเป็นพยาน แต่เดี๋ยวนี้ได้ทำการซ่อมวิหารเสียใหม่ ได้ลบร่องรอยอันนั้นแล้ว แต่ยังเหลือเป็นบางส่วน ที่พระประโทณเจดีย์นี้เดิมมีพระจำพรรษามานานแล้ว เพราะปรากฏว่าเคยมีพระเถระก่อนที่จะไปรุกขมูลที่พระแท่นศิลาอาสน์ ต้องมาอยู่ปริวาสกรรมที่วัดพระประโทณเจดีย์นี้ก่อน แล้วจึงค่อยไปนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์เมืองอุตรดิตถ์ ดังปรากฏตามคำบอกเล่า ในหนังสือปกิณณกฉันท์ ซึ่งพิมพ์แจกในงานทำบุญฉลองอายุครบ ๗๐ ปี ในพ.ศ. ๒๔๗๔ ของพระครูปัจฉิมทิศบริหาร เจ้าคณะหมวดวัดงิ้วลาย ในหนังสือได้เล่าประวัติย่อของท่านว่า ท่านได้อุปสมบทกับน้องชายที่วัดแค ท่านพระครูปุริมานุรักษ์ (คด) วัดสุปดิษฐาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่ทรัพย์ วัดงิ้วลาย เป็นพระกรรมวาจา หลวงพ่อยิ้ว วัดแค เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อได้อุปสมบทแล้วพรรษาต้น ท่องสวดมนต์จบ สมัยท่องพระปาฏิโมกข์ถึงอนิยต ครั้งถึงอนุโมทนากฐินแล้วปรารภจะไปรุกขมูล ไปกับอาจารย์ทาไปพักอยู่วัดครุฑ ในคลองมอญ ได้ทราบข่าว สมเด็จพระพุทธปาทปิลันธน์ วัดระฆังโฆสิตาราม จะเสด็งรุกขมูลทางพระแท่นศิลาอาสน์ ก็พร้อมกันมาพักอยู่ที่วัดพระประโทณเจดีย์ เมื่อท่านเสด็จมาอยู่ปริวาสกรรมที่วัดพระประโทณเจดีย์ เสร็จแล้วออกเดินทางไปจนถึงพระแท่นศิลาอาสน์เมืองอุตรดิตถ์

พระประโทนเจดีย์ เป็นเจดีย์ที่มีความสำคัญและมีชื่อเสียงเลื่องลือ เป็นที่ปรากฏตั้งแต่สมัยโบราณ จากอมตะวรรณกรรมของสุนทรภู่ ได้บรรยายตำนานเกี่ยวกับพระประโทนเจดีย์ ไว้ในนิราศ พระประธม-พระประโทน ตอนหนึ่งว่า

เอาพานทองรองประสูติพระบุตรา
กระทบหน้าแต่น้อยน้อยเป็นรอยพาน
พอโหรทายร้ายกาจไม่พลาดเพลี่ยง
ผู้ใดเลี้ยงลูกน้องจะพลอยผลาญ
พญากงส่งไปให้นายพราน
ทิ้งที่ธารน้ำใหญ่ยังไม่ตาย
ยายหอมรู้จู่ไปเอาไปเลี้ยง
แกรักเพียงลูกรักไม่หักหาย
ใครถามไถ่ไม่แจ้งให้แพร่งพราย
ลูกผู้ชายชื่นชิดสู้ปิดบัง
ครั้นเติบใหญ่ได้วิชาตะปะขาว
แกเป็นชาวเชิงพนมอาคมขลัง
รู้ผูกหญ้าพยนต์มนต์จังงัง
มีกำลังลือฤทธิ์พิสดาร
พญากงลงมาจับก็รับรบ
ติดกระทบทัพย่นถึงชนสาร

ฝ่ายท้าวพ่อมรณาพญาพาน
จึงได้ผ่านพบผดุงกรุงสุพรรณ
เข้าหาพระมเหสีเห็นมีแผล
จึงเล่าแต่ความจริงทุกสิ่งสรรพ์
เธอรู้ความถามไถ่ได้สำคัญ
ด้วยคราวนั้นคนเขารู้ทุกผู้คน
ครั้นถามไถ่ยายหอมก็ยอมผิด
ด้วยปกปิดปฏิเสธด้วยเหตุผล
เธอโกรธฆ่ายายนั้นวายชนม์
จึงให้คนก่อสร้างพระปรางค์ประโทน

ตามนิยายปรัมปรากล่าวถึงมูลเหตุการสร้างพระประโทนเจดีย์นี้ว่า พญาพาน ได้สร้างขึ้นโดยมีเรื่องว่า เมื่อพญากงได้ครองเมืองศรีวิชัย คือ เมืองนครปฐมในปัจจุบันนี้ สืบต่อจากพระเจ้าสิการาชผู้เป็นพระราชบิดาแล้ว ต่อมาได้พระราชบุตรประสูตแต่พระมเหสีองค์หนึ่ง โหรได้ถวายคำพยากรณ์ พระราชกุมาร ว่าจะเป็นผู้มีบุญญาธิการมาก จะได้ครองราชสมบัติ เป็นกษัตริย์ต่อไปในภายหน้า แต่ว่าพระราชกุมารนี้จะกระทำปิตุฆาต คือ ฆ่าพ่อ เมื่อพญากงได้ทราบดังนั้น จึงรับสั่งให้ราชบุรุษ พา พระราชกุมารไปฆ่าทิ้งเสียในป่า ราชบุรุษจึงนำไปทิ้งไว้ที่ป่าไผ่ ที่ไร่ของยายหอม ยายพรมไปพบพระราชกุมาร จึงเก็บมาเลี้ยงไว้ แต่ยายพรมมีลูกหลานมาก จึงยกพระราชกุมารให้ยายหอมไปเลี้ยงไว้ ยายหอมได้เลี้ยงพระราชกุมาร แล้วนำไปให้เจ้าเมืองราชบุรีเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม แต่เมืองราชบุรีเป็นเมืองขึ้นของเมืองศรีวิชัย อยู่ภายหลังพระราชกุมารเติบโตขึ้น ได้แข็งเมืองไม่ยอมส่งบรรณาการ และได้ท้ารบกับพระยากง จนได้ชนช้างกัน เมื่อฆ่าพญากงสำเร็จแล้วได้เข้าเมืองศรีวิชัย เวลานั้นพระมเหสีของพญากงซึ่งเป็นพระชนนีของพญาพาน ยังมีพระชนม์อยู่ กล่าวกันว่ารูปโฉมสวยงาม พญาพานคิดอยากได้เป็นมเหสี ได้เสด็จเข้าไปที่ตำหนัก เทพยดาได้แปลงเป็นแพะบ้าง บ้างก็แปลงเป็นแมวแม่ลูกอ่อน นอนขวางบันไดปราสาทอยู่ เมื่อพญาพานข้ามสัตว์ทั้งสองนั้นไป สัตว์จึงพูดกับแม่ว่าท่านเห็นเป็นเดรัจฉานจึงข้ามไป แม่ตอบลูกว่า นับประสาอะไรกับเราเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่มารดาของท่าน ท่านยังจะเอาเป็นเมีย พญาพานได้ฟังดังนั้นก็ประหลาดพระทัยนัก จึงทรงตั้งอธิษฐานว่า ถ้าพระมเหสีของพระยากงเป็นพระมารดาของเราจริงแล้ว ขอให้น้ำนมหลั่งออกจากถันทั้งสองข้างให้ปรากฏ ถ้าไม่ใช่พระมารดาของเราก็ขออย่าให้น้ำนมไหลออกมาเลย พญาพานตั้งอธิษฐานแล้ว น้ำนมได้หลั่งออกมาจากถันเป็นที่ประจักษ์แก่สายตา พญาพานจึงได้ไต่ถาม ได้ความว่าเป็นพระมารดาจริงแล้ว ก็ทรงดื่มกินน้ำนม และทรงทราบว่าพญากงเป็นพระราชบิดา จึงโกรธยายหอมว่า มิได้บอกให้ตนทราบว่าเป็นบุตรใคร จนได้ทำบาปถึงฆ่าพ่อ แล้วได้ไปเรียกยายหอมมา แล้วจับยายหอมฆ่าเสีย คนทั้งปวงจึงเรียกพระราชกุมารว่า พญาพาน เพราะไม่รู้จักคุณคนก็มี เรียกพญาพานเพราะเมื่อเวลาเกิดนั้น พระพักตร์กระทบพานทองเป็นแผลก็มี เมื่อพญาพานฆ่ายายหอมแล้ว รู้สึกเสียพระทัย ว่าฆ่าผู้มีพระคุณเสียแล้วอีกคนหนึ่ง จึงได้ถามสมณพราหมณาจารย์ว่าจะทำอย่างไร จึงจะล้างบาปในการฆ่าพระราชบิดาและฆ่ายายหอม ผู้ที่ได้เลี้ยงตนมาแต่เยาว์วัย พระสงฆ์ก็ได้ถวายพระพรว่า ให้สร้างเจดีย์สูงแค่นกเขาเหิน จึงได้สร้างพระปฐมเจดีย์ขึ้นเพื่อล้างบาปที่ฆ่าพ่อ และสร้างพระประโทณเจดีย์ขึ้นเพื่อล้างบาปที่ฆ่ายายหอม ตั้งแต่นั้นมา


ตามตำนานที่กล่าวมารู้สึกเป็นนิยายพื้นเมืองที่ได้เล่าลือกันมาเพื่อเป็นเครื่องเชื่อมโยงเรื่องราวให้ปะติดปะต่อกัน นับว่าเป็นประโยชน์ดีอยู่ ในตำนานพระอารามหลวง ยังได้เขียนบอกชื่อผู้ที่สร้างวัดประโทณเจดีย์ และวัดพระปฐมเจดีย์ว่า พญาพานเป็นผู้สร้าง แต่จะเป็นผู้ใดสร้างนั้น เมื่อไม่ปรากฏหลักฐานทางจดหมายเหตุ นักโบราณคดีจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องเป็นกษัตริย์ ที่ทรงศักดานุภาพ และมีศรัทธาแก่กล้าในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก จึงได้สามารถสละทรัพย์มหาศาลถึงเพียงนี้ได้